ทำอย่างไรห่างไกลมะเร็ง? และดูแลผู้ป่วยมะเร็งอย่างไรดี? การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ในก…

ทำอย่างไรห่างไกลมะเร็ง? และดูแลผู้ป่วยมะเร็งอย่างไรดี?

การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง
ในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งจะแบ่งออกเป็น 6 ส่วน คือ
.
1. การดูแลอารมณ์ จิตใจ ความคิด และจิตวิญญาณ ในบางคนมักไปโฟกัสในเรื่องของร่างกาย คิดแต่ว่าจะฆ่าเซลล์มะเร็งอย่างไรดี? จนบางครั้งละเลยเรื่องของจิตใจ ความรู้สึกไป แล้วในหลายคนเวลาทำการรักษาหมอจะถามเรื่องของจิตใจ บางคนก็บอกว่าเขากำลังใจดี เขาโอเคมาก แล้วคนที่บอกว่าเขาโอเค กำลังใจดีนั้น ลองมาดูกันว่าเขาทำได้ตามนี้หรือเปล่า?

🐳อารมณ์ คือ เราต้องการให้ผู้ป่วยมีอารมณ์ที่เป็นบวก มีความสุข มีความสงบ แล้วลองถามว่าผู้ป่วยมะเร็งดูว่าสามารถทำแบบนี้ได้หรือเปล่า? ถ้าทำตามนี้ไม่ได้อย่างไรก็ต้องดูแลในส่วนนี้ต่อไป เช่น สมมติว่า ผู้ป่วยไม่รู้สึกกลัว ไม่รู้สึกกังวลได้จริงหรือไม่? เพราะความรู้สึกทั้ง 2 อย่างนี้เป็นความรู้สึกที่อยู่ในตัวผู้ป่วยมะเร็งเยอะ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องทำอย่างไรก็ได้ที่จะทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความรู้สึกสงบ มีความสุข นี่คือเป้าหมายหลักในการดูแลด้านจิตใจของผู้ป่วยมะเร็ง

🐳ความคิด คือ การที่ต้องขจัดความคิดด้านลบออกไป โดยเราอยากให้ผู้ป่วยมะเร็งคิดบวก โดยผู้ป่วยมะเร็งส่วนมากจะมีความคิดกังวล เช่น ถ้าฉันตัดสินใจแบบนี้ไปแล้วจะเป็นอย่างไร? เลือกกินอาหารแบบนี้จะผิดไหม? จะมีการระแวดระวังไปหมด มีความกังวล มีความกลัวที่สูงมาก ความคิดเป็นความคิดด้านลบ แล้วเราจะทำอย่างไรดีที่จะทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความคิดที่เป็นด้านบวก? หรืออีกภาวะหนึ่งที่ดีคือ ปราศจากความคิด เพราะฉะนั้นในเรื่องของการฝึกสมาธิจะต้องเข้ามามีบทบาทในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งด้วยเสมอ โดยทั่วไปเวลาที่คนคิดมักจะคิดเรื่องอดีต เรื่องความผิดพลาดในอดีต หรือกังวลกับอนาคต อย่างน้อยถ้ายังไม่สามารถคิดบวกได้ก็ให้กลับมาอยู่ในปัจจุบันนี้ก่อน ถ้าเรากลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ ความคิดกังวลในเรื่องอนาคตก็จะหายไป ความคิดลบถึงสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตก็จะไม่มี

ดังนั้นคีย์หลักที่จะดูแลผู้ป่วยมะเร็งในเรื่องของอารมณ์ จิตใจ ความคิด และจิตวิญญาณ คือ การที่ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความสุข ถึงแม้ผู้ป่วยมะเร็งจะอยู่ในขั้นที่เป็นระยะลุกลามมากแล้วก็ตาม อย่างน้อยถ้าเราทำให้เขามีความสุขได้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตแค่นี้ก็ดีแล้ว
.
❌หยุดให้อาหารมะเร็ง ถ้าเกิดเราให้อาหารเซลล์มะเร็งไปเรื่อยๆ เซลล์มะเร็งก็จะยิ่งเจริญเติบโต จึงควรให้อาหารมะเร็งที่มะเร็งไม่ชอบ ให้อาหารที่ไม่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ซึ่งอาหารเหล่านั้นก็ควรดีต่อสุขภาพร่างกายของเราเพื่อให้ร่างกายของเรานำเอาสารอาหารเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ได้
.
อาหาร 4 กลุ่ม ถ้าไม่อยากเป็นมะเร็งไม่ควรทานเยอะ
.
🍗เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น แฮม ไส้กรอก เบคอน ซึ่งมีหลักฐานจากงานวิจัยบอกไว้ว่า มีสารก่อมะเร็งอยู่ในอาหารเหล่านั้น เพราะฉะนั้นยิ่งกินเยอะยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งสูง

❤️สัตว์เนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแพะ เนื้อแกะ สัตว์เนื้อแดงต่างๆ ในคนปกติทั่วไปหากอยากทานก็ควรจำกัดปริมาณการบริโภค โดยใน 1 สัปดาห์ควรทานพวกเนื้อแดงไม่ควรเกิน 400 กรัม ส่วนในคนที่เป็นมะเร็งแนะนำให้กินวีแกน ให้กินพืชเป็นหลักแทน

🍐น้ำตาล จริงๆ แล้วเซลล์มะเร็งเอาสารอาหารไปใช้ได้ทุกอย่าง แต่เซลล์ในกลุ่มที่มีการแบ่งตัวจำนวนมากแล้วเป็นเซลล์ที่มีการลุกลาม คือ เป็นกลุ่มที่กินน้ำตาลเป็นหลัก ในคนที่เป็นมะเร็งจึงควรต้องจำกัดน้ำตาล แล้วในการตรวจสแกนมะเร็งอย่างหนึ่งที่เรียกว่า PET CT Scan โดยการเอาน้ำตาลติดสีที่มองเห็นด้วยเครื่องเอ็กซเรย์ที่พอฉีดน้ำตาลเข้าไปแล้วทำ CT Scan ตรงไหนที่มีเซลล์มะเร็งน้ำตาลจะไปรวมตัวกันที่จุดนั้น เรื่องนี้จึงทำให้รู้ว่าเซลล์มะเร็งกินน้ำตาลเยอะ เพราะฉะนั้น PET CT Scan สามารถสแกนเซลล์มะเร็งในร่างกายได้ แต่ไม่แนะนำให้ทำ เพราะการทำ PET CT Scan มีปริมาณรังสีที่สูงมาก หากไปทำแบบนี้เป็นประจำทุกปีไม่สามารถทำได้ เพราะเราจะได้รับปริมาณรังสีเข้ามาในร่างกายเป็นจำนวนมากนั่นเอง แต่หากเป็นกลุ่มสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งจริงๆ เวลาตรวจแล้วตรวจไม่เจอ การทำ PET CT Scan ก็สามารถช่วยได้ จะเห็นได้ว่า เซลล์มะเร็งมีตัวรับน้ำตาลที่เยอะกว่าเซลล์ปกติ เพราะฉะนั้นหากกินน้ำตาลเข้าไปเป็นการให้อาหารไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งมากกว่าเลี้ยงตัวเอง เพราะว่าเซลล์มะเร็งจะแย่งน้ำตาลไปกินหมด ในคนที่เป็นมะเร็งไม่แนะนำให้กินน้ำตาลเลย แต่ในคนปกติทั่วไปหากไม่อยากเป็นมะเร็งจะต้องจำกัดการบริโภคน้ำตาลลง
.
🍞แป้งขัดขาว เพราะสุดท้ายแป้งขัดขาวเมื่อย่อยแล้วก็จะกลายเป็นน้ำตาลอยู่ดี แล้วยังทำให้น้ำตาลสูงเร็วขึ้นด้วย ควรเลี่ยงไปทานเป็นพวกข้าวกล้อง ธัญพืช เผือก มัน ข้าวโพด เพราะเป็นอาหารที่มีไฟเบอร์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรา ยิ่งเมื่อมีไฟเบอร์สูงจะยิ่งดูดซับน้ำตาลไว้ในตัวเองทำให้น้ำตาลในเลือดไม่สูงเร็ว แล้วในพวกข้าวโพดก็จะมีสารไฟโตนิวเทรียนต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนั้นควรทานพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะดีกว่า
.
คนเป็นมะเร็งทานอะไรดี?
คนที่เป็นมะเร็งแนะนำให้ทานเป็น Plant Based คือ การกินพืชเป็นหลัก แล้วก็ Low Carb คือ ลดปริมาณอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล แป้งขัดขาว ให้ต่ำลง เพราะว่าจริงๆ แล้วเซลล์มะเร็งสามารถนำสารอาหารไปใช้ได้หมดไม่ว่าจะหมวดหมู่ไหนก็ตาม แต่ตัวเซลล์มะเร็งระยะที่แพร่กระจายหรือมีการแบ่งตัวเยอะๆ ซึ่งกลุ่มนี้จะเอาน้ำตาลไปใช้เป็นหลัก แล้วเอากลูตามินที่เป็นกรดอะมิโนไปใช้ด้วย หลักๆ แล้วเซลล์มะเร็งจะใช้น้ำตาลและโปรตีนในการเจริญเติบโตนั่นเอง ดังนั้นเป้าหมาย คือ การหยุดยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ถ้าเราสามารถหยุดยั้งการแพร่กระจายได้เราก็จะไม่เสียชีวิตจากมะเร็ง ซึ่งกลูตามีนเป็นกรดอะมิโนที่อยู่ในอาหารแทบทุกอย่าง การที่เราจะเลี่ยงอาหารโปรตีนเป็นสิ่งที่เลี่ยงยาก แล้วในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งยิ่งถ้าไม่บริโภคโปรตีนเลยจะทำให้ภูมิตก เพราะฉะนั้นจะไม่สามารถเลี่ยงโปรตีนได้ แต่ยังก็ตามจึงต้องทานโปรตีนให้เพียงพอ แนะนำให้กินเป็น Plant Based จะดีกว่า แล้วการกิน Plant Based กินอย่างไรที่จะทำให้ได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ? ซึ่งหลายคนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วว่าในพืชก็มีโปรตีนอยู่เช่นกัน ซึ่งวิธีการกิน คือ กินผักให้หลากหลาย กินให้หลากสี พืชผักที่มีกลิ่นฉุนทุกอย่างมีฤทธิ์ดีที่ช่วยในการต่อต้านมะเร็ง โดยแนะนำ คือ นำไปปั่นแล้วเอามากิน โดยปั่นในรอบต่ำเพื่อให้สารอาหารยังคงอยู่ ผลไม้ก็ใส่ได้เล็กน้อยเพราะว่าผลไม้อย่างไรก็มีน้ำตาล โดยใส่ได้ไม่เกิน 5-10% โดยแนะนำแอปเปิ้ลเขียวเพราะว่ามีน้ำตาลไม่เยอะ แล้วแอปเปิ้ลเขียวกับแอปเปิ้ลแดง แอปเปิ้ลเขียวมีน้ำตาลน้อยกว่าก็จริงแต่แอปเปิ้ลแดงมีประโยชน์จากสีแดงมากกว่า ในคนทั่วไปควรกินแอปเปิ้ลแดงแล้วแนะนำให้กินเปลือกด้วยจะดีที่สุด เพราะว่าประโยชน์อยู่ที่เปลือก หากเป็นสัปปะรดควรทานตรงแกนสัปปะรด เพราะว่ามีเอนไซม์เยอะ คนเป็นมะเร็งบางครั้งระบบย่อยอาหารก็จะเสีย เพราะฉะนั้นแกนสัปปะรดมีเอนไซม์เยอะก็จะช่วยย่อยอาหารได้ดี โดยทั่วแล้วแนะนำให้ผู้ป่วยมะเร็งกินน้ำผัก 3 แก้ว ประมาณ 450-500 cc
.
✅ให้สารอาหารที่เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง
แต่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย ซึ่งการให้เคมีบำบัดเป็นการทำลายทั้งเซลล์ดีและเซลล์ไม่ดีทั้งหมด แล้วมีสารอาหารบางอย่างที่เป็นพิษต่อมะเร็งแต่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย เช่น พวก Artesunate จะทำปฏิกริยากับธาตุเหล็กในเซลล์มะเร็งจะทำให้เกิดเป็นอนุมูลอิสระแล้วก็เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง หรือวิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่หากได้รับในขนาดสูงๆ ตัววิตามิน C จะกลายเป็นอนุมูลอิสระ ซึ่งขนาดสูงที่ว่า คือ เกินกว่า 25 กรัมขึ้นไป แล้ววิตามิน C โครงสร้างเหมือนน้ำตาล เพราะฉะนั้นเวลาที่ฉีดวิตามิน C เข้าไปในร่างกายเซลล์มะเร็งจะนึกว่าเป็นน้ำตาลก็จะรีบกินวิตามิน C เข้าไปในปริมาณมาก ซึ่งวิตามิน C ขนาดสูงยิ่งเป็นพิษ เป็นอนุมูลอิสระ ประกอบกับวิตามิน C หากเจอกับธาตุเหล็กจะเรียกว่า Fenton Reaction คือการก่อให้เกิดอนุมูลอิสระที่รุนแรงกว่า เพราะฉะนั้นจึงเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง ซึ่งการให้สารอาหารจะต้องให้เป็นสารอาหารหลายๆ สูตร เพราะว่าเซลล์มะเร็งเป็นเซลล์ที่เก่ง อยู่รอดได้ในภาวะที่มีความเป็นพิษสูงได้ มีการปรับตัวเก่ง ดังนั้นการรักษามะเร็งจึงต้องใช้สูตรรักษาหลายแบบ แต่คีย์หลักที่สำคัญ คือ ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย โดยการเสริมสร้างสุขภาพเราให้ดี จำกัดเซลล์มะเร็งไม่ให้โตขึ้น
.
✅ฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน
ภูมิคุ้มกันเป็นตัวสำคัญอย่างมากที่จะป้องกันการกลับมาของเซลล์มะเร็งได้ดีที่สุด ในคนที่เป็นมะเร็งแล้วทำเคมีบำบัดหลังจากนั้นจะต้องทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นด้วย ซึ่งในตัวเราทุกคนมีเซลล์มะเร็งกันอยู่แล้วไม่มากก็น้อย เช่น วันนี้มีเซลล์มะเร็งสร้างขึ้นมา 100 แต่ภูมิคุ้มกันเราฆ่าได้ 300 เราจะไม่เป็นมะเร็ง
อาหารเสริมที่ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันที่คนเป็นมะเร็งควรทาน คือ วิตามิน D, C, Zinc ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง แล้ววิตามินที่ช่วยเรื่อง NK Cell ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวด่านแรก เป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันด่านหน้าที่จะต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายของเราอย่างรวดเร็ว คือ วิตามิน A, Selenium, วิตามิน E (Tocopherol) ในคนที่ไม่อยากเป็นมะเร็งก็สามารถที่จะกินวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันเหล่านี้ได้เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็ง
.
✅Detox (ดีท็อกซ์)
คือ การล้างสารพิษออกจากร่างกายเพื่อให้ร่างกายดีขึ้น สิ่งที่คุ้นเคยกันคือ การสวนล้างลำไส้ เป็นการเอาของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอยู่ที่ทางเดินอาหารเป็นส่วนมาก การที่เคลียร์ของเสียออกไปภูมิคุ้มกันจะทำงานได้ดีขึ้น อีกอย่างหนึ่งคือ การทำให้ระบบน้ำเหลืองดีขึ้น ไหลเวียนได้ดี ในระบบน้ำเหลืองจะมีพวกเม็ดเลือดขาวที่เป็นพวกลิมโฟไซท์อยู่ เพราะฉะนั้นการที่ทำให้ระบบน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดี การที่เม็ดเลือดขาวจะไปจัดการมะเร็งก็จะทำได้ดีขึ้น อีกส่วนหนึ่งคือจะต้องทำให้ Micro Circulation หรือว่าระบบเส้นเลือดเล็กๆ มีการไหลเวียนที่ดี ซึ่งพวกนี้ก็จะทำให้การจำกัดของเสียทำได้ดีขึ้นนั่นเอง
.
✅สอนให้ผู้ป่วยมะเร็งใช้ชีวิตกับไลฟ์สไตล์ของการเป็นผู้ป่วยมะเร็งไปได้เรื่อยๆ เช่น การทำอาหารเอง ปั่นผัก ปั่นอะไรต่างๆ กินเอง สอนในเรื่องของการทำสมาธิ อธิบายวิธีการรักษา สอนเรื่องอาหารต่างๆ ที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อที่จะให้ผู้ป่วยมะเร็งไปทำต่อได้ด้วยตัวเอง เพราะในระยะยาวเขาจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง และนำสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ไปปฏิบัติต่อได้เองอย่างต่อเนื่อง
.
การเป็นมะเร็งสิ่งที่สำคัญ คือ การที่ดูแลจิตใจของผู้ป่วยให้มีพลังงานความคิดในด้านบวก ใส่ใจกับสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งถ้าดูแลตัวเองและปรับไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตอย่างถูกวิธีก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อีกยาวนาน ซึ่งกำลังใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ การดูแลตัวเอง การรักษาที่ถูกต้องก็จำเป็นทั้งหมด ดังนั้นเราควรรู้เท่าทันโรคมะเร็ง เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง จะได้ห่างไกลโรคมะเร็งกันนะคะ : )
.
✅Line Official https://lin.ee/piE9kvf
💬 Inbox: m.me/drcanthelp
หรือ
✅ Line Shopping : https://lin.ee/tpmtgGI
✅ ร้านค้า Shopee: https://shp.ee/nm86kr9
——————————-
ติดตามความรู้เรื่องสุขภาพ และวิธีการดูแลสุขภาพได้ที่
📌 เพจ : อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ
📌 Youtube : https://youtube.com/c/อย่าฝากชีวิตไว้…
📌 IG : dr.cant.help

ติดต่อเรา