4 วิธีการแก้ปัญหาท้องผูก โดยไม่ใช้ยา

1.      ให้ทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง

มีการทดลองที่เอาลูกปัดที่ติดสารรังสี ซึ่งสามารถสแกนได้เลยว่าตอนนี้เนื้อสัตว์ที่เราทานเข้าไป  เคลื่อนตัวไปถึงตอนไหนแล้ว ซึ่งพบว่า ถ้าเกิดเราทานเนื้อสัตว์อย่างเดียวเลย ใช้เวลาลาประมาณ 7 วัน กว่าจะเคลื่อนตัวอุจจาระขับถ่ายออกไป เพราะฉะนั้นถ้าทานเนื้อสัตว์เยอะๆ ก็จะทำให้เราท้องผูกได้  แต่ว่าถ้าเกิดเราทานพืชเป็นหลัก พืชผักผลไม้ต่างๆ ที่ทำการทดลองเหมือนกัน พบว่า ถ้าเป็นพืชผักใช้เวลาเพียงแค่ 12 ชั่วโมง ก็จะขับถ่ายออกไปแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่ทานเนื้อเยอะๆ แล้วท้องผูก ลองลดการทานเนื้อสัตว์ แล้วทานเป็นพืชให้มากขึ้นจะช่วยเรื่องท้องผูกได้

2.      การดื่มน้ำ

การดื่มน้ำเยอะๆ จะทำให้อุจจาระนุ่มขึ้น เคลื่อนตัว และขับถ่ายออกไปได้ดีขึ้น หลายคนทานน้ำน้อยแล้วมีปัญหาเรื่องของอุจจาระแข็ง ถ่ายอุจจาระยาก จะเจอในเด็กๆ บ่อย เพราะฉะนั้นควรทานน้ำให้เยอะขึ้น

3.      การนวดท้อง

แนะนำให้นวดท้อง ตอนเช้าตื่นมาให้ทานน้ำก่อนเลย เวลาทานน้ำแล้วเมื่อนวดท้องให้นวดในลักษณะคือ โดยให้นึกถึงว่าหน้าท้องเราเป็นนาฬิกา โดยข้างบนเป็นเวลาเที่ยง ข้างล่างเป็นเวลา 6 โมงเย็น  เวลานวดให้นวดตามเข็มนาฬิกา ทำไมต้องนวดตามเข็มนาฬิกา เพราะว่าลำไส้ใหญ่ จะเริ่มจากฝั่งขวาก่อน แล้วก็จะพาดขวางลำตัวมา แล้วก็พาดลงไปตรงๆ ทางด้านซ้าย และก็ไปออกที่รูทวารของเรา เพราะฉะนั้นเวลาเรานวดจะต้องนวดไปตามทิศทางของลำไส้ใหญ่ที่มันจะนวดเพื่อให้อุจจาระออกไป ถ้านวดย้อนบางทีก็จะไม่ค่อยช่วย เพราะฉะนั้นจะต้องนวดตามเข็มนาฬิกา

4.      ตัวช่วย

หลายคนต้องทานยาระบายอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีตัวช่วย เพราะว่าเวลาหยุดยาระบาย หลายคนก็จะถ่ายไม่ได้เลย หลายคนติดยาระบาย ซึ่งหมอแนะนำว่า ถ้าในคนที่ติดยาระบายให้ลองค่อยๆ ลดปริมาณ แล้วหันมาใช้ตัวช่วยเหล่านี้ หมอไม่แนะนำให้ใช้ยายระบาย เพราะว่ายาระบายส่วนมากจะออกฤทธิ์กระตุ้นทำให้ลำไส้มันเคลื่อนตัวเพื่อบีบอุจจาระออกไป เวลาที่เราหยุดทานยาลำไส้ก็จะไม่บีบตัวเอง เพราะปกติใช้ยาภายนอกเข้าไปกระตุ้นลำไส้เสมอ ทีนี้อาจจะเห็นอาหารเสริมหลายๆ อย่างที่แก้ปัญหาท้องผูก แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามีการผสมตัวยาที่ทำให้ลำไส้บีบตัวหรือเปล่า โดยความรู้สึกจะบอกได้ง่ายมากเลย คือ จะรู้สึกปวดบิดที่ท้องจะต้องถ่ายออกแล้ว พวกนี้จะมีตัวที่กระตุ้นทำให้ลำไส้บีบตัวอยู่ คือ พยายามเลี่ยงไม่ใช้กลุ่มเหล่านี้ ตัวช่วยที่หมอแนะนำมีอยู่ 3 อย่าง คือ

ไฟเบอร์ เพราะว่าไฟเบอร์ คือ กากใยอาหาร ถ้าเราสามารถทานผักผลไม้ได้มากเพียงพอ ก็ไม่จำเป็นต้องทานเสริม ซึ่งต่อวันที่เราต้องการไฟเบอร์อยู่ประมาณที่ 25-30 กรัม สมมติว่า ถ้าเกิดทานไฟเบอร์ได้ไม่เยอะพอก็ควรจะทานไฟเบอร์เสริมเข้าไป ไฟเบอร์เป็นสิ่งที่ร่างกายเราย่อยไม่ได้ เป็นกากใย แล้วก็สิ่งนี้ไม่ได้ออกฤทธิ์ในการกระตุ้นลำไส้ให้บีบตัวเลย เพราะฉะนั้นควรใช้ไฟเบอร์ก่อนเป็นอันดับแรก ไฟเบอร์ตัวที่หมอชอบ ตัวที่ชื่อ Ispaghula Husk ถ้าทานไฟเบอร์ตัวนี้ขอให้ดื่มน้ำเยอะๆ เพราะว่าตัวเขาเองจะสามารถดูดน้ำเข้าไปแล้วก็ขยายตัวได้ถึง 40 เท่า ด้วยตัวเขาเองจะมีลักษณะ เยื่อเมือกลื่นๆ เหล่านี้ ทำให้อาหารต่างๆ ที่เวลาผ่านลำไส้ไป มันก็จะมีเยื่อเมือกเหล่านี้ช่วยด้วย ทำให้อาหารผ่านไปได้ง่ายขึ้น ลื่นขึ้น เพราะฉะนั้นตัวนี้ เป็นตัวที่หมอชอบ

ไทรอยด์ หลายคนต้องลองเช็คดูว่าเวลามีปัญหาเรื่องท้องผูก ดูสิว่าไทรอยด์เราต่ำไหม ถ้าเกิดในคนที่เป็นไทรอยด์ต่ำ ก็จะมีปัญหาเรื่องของท้องผูกได้ เพราะฉะนั้นเวลาจะแก้ ควรให้เสริมด้วย Armour Thyroid คือ อาหารเสริมไทรอยด์ที่สกัดมาจากหมู พวกนี้ก็จะช่วยทำให้ ลำไส้เคลื่อนตัวได้ดีขึ้น ก็สามารใช้ Armour Thyroid ช่วยได้

3.       Probiotics เป็นจุลินทรีย์ที่ดี ที่อยู่ในทางเดินอาหารของเราอยู่แล้ว จริงๆ แล้วในเรื่องของสุขภาพ Probiotics ช่วยได้หลายเรื่องมากๆ พอเวลาที่เรามีจุลินทรีย์ดีๆ อยู่ในทางเดินอาหาร ทางเดินอาหารเราก็จะมีสุขลักษณะที่ดี การบีบตัวของทางเดินอาหารต่างๆ ก็จะดี เพราะฉะนั้นเป็นตัวที่แนะนำให้ใช้ ถ้าใช้ร่วมหรือใช้คู่กับพวกไฟเบอร์ต่างๆ ได้ยิ่งดี เพราะว่าพวก Probiotics เหล่านี้ จุลินทรีย์เหล่านี้ มักชอบทานไฟเบอร์เป็นอาหาร นอกจากช่วยเรื่องของท้องผูกแล้ว เวลาท้องเสียก็สามารถทาน Probiotics ได้ เพราะเวลาที่เราท้องเสียเกิดจากการที่เราติดเชื้อบางอย่างเข้าไป คือ มันมีจุลินทรีย์บางอย่างที่มันก่อโรค ถ้าเรามีพวก Probiotics อยู่ มันก็จะไปจัดการจุลินทรีย์ไม่ดีเหล่านี้ได้ จริงๆ ประโยชน์ของ Probiotics มีเยอะมาก อย่างหนึ่งคือเป็นเรื่องของภูมิคุ้มกัน จะบอกว่าภูมิคุ้มกันเรา 70% อยู่ที่ทางเดินอาหาร เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเราทาน Probiotics ทางเดินอาหารเราดี ภูมิคุ้มกันเราก็จะดี

คำเตือน Probiotics

ต้องทานตอนท้องว่างเท่านั้น หมอแนะนำให้ทาน Probiotics ในตอนเช้า ตอนตื่นนอน เมื่อทานไปแล้วขอชั่วโมงหนึ่งอย่าพึ่งทานอะไร หรือไปทานตอนก่อนนอนเลย อย่าทานพร้อมอาหาร หรือใกล้ๆ เวลาอาหาร อย่าทานแบบนั้น เพราะว่า Probiotics ถ้าเราทานพร้อมอาหารบางประเภท เช่น ไข่ หรือนม มันจะก่อให้เกิดสารที่เรียกว่า TMAO ซึ่งสารเหล่านี้เป็นพิษต่อหัวใจ เพราะฉะนั้น Probiotics ต้องทานตอนท้องว่างเท่านั้น  


ติดตามความรู้เรื่องสุขภาพ และวิธีการดูแลสุขภาพได้ที่
Facebook Page: อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ
Youtube : อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ
IG : dr.cant.help
LINE : Add เป็นเพื่อนผ่าน QR Code หรือค้นหา @bluphama

สามารถมาพูดคุยกับสมาชิก และคุณหมอได้ในกลุ่มเฟซบุ้คของเราได้เลยค่ะ
Group by อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ



ติดต่อเรา